|   | 
        
         
             | 
        
        
          |         การจำแนกดิน 
            หมายถึง การรวบรวมดินชนิดต่างๆ ที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่กำหนดไว้ 
            ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสะดวกในการจดจำและนำไปใช้งาน  | 
        
         
               เนื่องจากการจำแนกดินนั้น 
              มีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้มีการใช้ดิน และที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ 
              นักปฐพีวิทยาในแต่ละเขตของโลกซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับดินชนิดต่างๆ 
              ที่ไม่เหมือนกันนัก จึงได้สร้างระบบการจำแนกดินที่แตกต่างกันขึ้น ในประเทศที่มีวิวัฒนาการด้านนี้มานานและมีผลการศึกษาดินมากพอ 
              นักวิชาการก็สามารถกำหนดระบบการจำแนกดินที่เหมาะสมกับประเทศของตนเองขึ้นเป็นเอกเทศได้ 
              ส่วนในบางประเทศก็อาจจะนำระบบการจำแนกดินที่มีมาตรฐานจากประเทศอื่นมาปรับใช้กับประเทศตนเองได้ 
              อย่างไรก็ตามหลักการใหญ่ๆ ของการจำแนกดินนั้นนับว่าค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน 
              เพราะมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันคือประเทศรัสเซียเมื่อราวๆ ปี ค.ศ. 
              1870 และเริ่มเจริญมากประมาณปี ค.ศ. 1882 เมื่อนักธรณีวิทยาชื่อ V.V. 
              Dokuchaev ริเริ่มจำแนกดินขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักการสากล โดยถือว่าดินมีตัวตนของมันเองในธรรมชาติ 
              มีขอบเขต และมีหน่วยเป็นของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะใช้ระบบการจำแนกใดก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ 
              ลักษณะต่างๆ ของดินที่นักวิทยาศาสตร์ทางดินจะมองเห็น หรือวัดได้ทั้งในสนามและห้องปฏิบัติการ 
              และนักสำรวจดินจะต้องเข้าใจถึงนิยามของคำต่างๆ ที่ใช้เป็นอย่างดี เพื่อให้การแลกเปลี่ยนความรู้หรือการถ่ายทอดทางวิชาการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล 
             
                 ระบบการจำแนกดินที่แพร่หลายในเขตต่างๆ 
              ของโลกมีหลายระบบด้วยกัน อาทิเช่น ระบบการจำแนกดินของรัสเซีย ฝรั่งเศส 
              อังกฤษ เบลเยี่ยม แคนาดา ออสเตรเลีย บราซิล ระบบการจำแนกดินขององค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติ 
              ซึ่งแสดงด้วยแผนที่ดินของโลก ที่เรียกว่า FAO/UNESCO of the World) 
              และระบบการจำแนกดินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสองระบบหลังนี้มีผู้นิยมใช้กันกว้างขวางทั่วโลก 
              และประเทศไทยนั้นได้นำระบบการจำแนกดินของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้นานแล้วและพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ 
              ตามความเหมาะสมสำหรับท้องถิ่น รายละเอียดของระบบการจำแนกดินต่างๆ โดยสังเขปมีดังนี้ 
              | 
        
         
            
            ระบบการจำแนกดินของประเทศรัสเซีย  
                        ระบบนี้จะให้ความสนใจดินที่เกิดในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น 
            จนถึงค่อนข้างร้อน ในการจำแนกขั้นสูง เน้นการใช้โซนภูมิอากาศและพืชพรรณเป็นหลัก 
            มีทั้งหมด 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพภูมิอากาศตั้งแต่หนาวจัด 
            จนถึงค่อนข้างหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นสภาพภูมิอากาศค่อนข้างร้อน 
            โดยใช้ลักษณะความชื้น-ความแห้ง และสภาพพืชพรรณที่เป็นป่า หรือทุ่งหญ้า 
            เป็นปัจจัยจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากขั้นสูงจะมีการจำแนกออกเป็นชั้นย่อย 
            ตามลักษณะการเกิดของดิน และแบ่งเป็นชนิดดิน ในขั้นต่ำ ระบบการจำแนกดินของคูเบียนา 
            การจำแนกดินใช้ สมบัติทางเคมีของดิน และโซนของภูมิอากาศกับพืชพรรณ เป็นหลัก 
            โดยเน้นสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน และสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแห้งแล้งมากกว่าเขตชื้นและฝนชุก | 
        
         
            
            ระบบการจำแนกดินของประเทศฝรั่งเศส 
                     มีลักษณะเด่นคือ เป็นการจำแนกดินที่ใช้ลักษณะทั้งหมดภายในหน้าตัดดินเป็นเกณฑ์ 
            เน้นพัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยพิจารณาจาการจัดเรียงตัวของชั้นกำเนิดดินภายในหน้าตัดดินโดยเฉพาะ 
            กับการที่มีปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว 
            การจำแนกขั้นสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการขังน้ำ ส่วนขั้นต่ำ 
            ใช้ความมากน้อยในการเคลื่อนย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน | 
        
         
           ระบบการจำแนกดินของประเทศเบลเยียม 
                 เป็นการจำแนกที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น 
              การจำแนกดินใช้ลักษณะของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และพัฒนาการของหน้าตัดดิน 
              เป็นลักษณะจำแนก สำหรับการแจกแจงเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) 
              วัสดุอินทรีย์และตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความหมายที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน 
              เช่น จุดประ และสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังกล่าว 
              สำหรับพัฒนาการของหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นหลายชั้นโดยพิจารณาจากลำดับของชั้นต่าง 
              ๆ ในหน้าตัดดินและชั้น (B) ถือว่าเป็นชั้น B ที่เพิ่งมีพัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก 
              B คล้ายคลึงกันกับในระบบของฝรั่งเศส  | 
        
         
            
              ระบบการจำแนกดินของประเทศอังกฤษ 
               
                    เน้นลักษณะดินที่พบในประเทศอังกฤษและเวลส์ 
              ประกอบด้วย 10 กลุ่ม แจกแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นเกณฑ์ซึ่งเน้นชนิดและการจัดเรียงตัวของชั้นดิน 
              ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic 
              (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water 
              gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils และ Peat soils
  | 
        
         
            
            ระบบการจำแนกดินของประเทศแคนาดา  
                  ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมวิธานและมีลำดับสูงต่ำชัดเจน 
            ประกอบด้วย 5 ขั้นด้วยกันคือ อันดับ (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) 
            กลุ่มดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) และชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมวิธานของดินในระบบการจำแนกดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่สังเกตได้ 
            และที่วัดได้ แต่หนักไปในทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินในการจำแนกขั้นสูง 
            ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 อันดับ และแบ่งออกเป็น 28 กลุ่มดิน | 
        
         
           ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลีย 
               
                   การพัฒนาด้านการจำแนกดินในออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นกัน 
              โดยในช่วงแรกเป็นการจำแนกดินที่ใช้ธรณีวิทยาของวัสดุดินเริ่มแรกเป็นหลัก 
              แต่ต่อมาได้มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนถึงเน้นสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งออกเป็น 
              47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องจากการที่ประเทศออสเตรเลียมีสภาพภูมิอากาศอยู่หลายแบบด้วยกัน 
              ทำให้มีสภาพแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีทั้งในสภาพที่หนาวเย็นไปจนถึงเขตร้อนชื้น 
              และเขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าระบบการจำแนกนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่าง 
              ๆ มากมาย แต่เน้นดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นสีของดิน และเนื้อของดินค่อนข้างมาก 
              ระบบการจำแนกดินของออสเตรเลียนี้มีอยู่มากกว่า 1 แบบ เนื่องจากมีการเสนอระบบต่าง 
              ๆ ที่มีแนวความคิดพื้นฐานแตกต่างกันออกไป เช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 
              1971, 1971, 1980) ที่เน้นจากระดับต่ำขึ้นไปหาระดับสูง และระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินออสเตรเลีย 
              (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
  | 
        
         
            
              ระบบการจำแนกดินของประเทศนิวซีแลนด์ 
                 ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอนุกรมวิธานดินของสหรัฐอเมริกาเป็นหลักในการจำแนกดิน 
              และดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ  | 
        
         
            
              ระบบการจำแนกดินของประเทศบราซิล 
                 ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน 
              ระบบการจำแนกดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชื้นดินในการจำแนกขั้นสูง และใช้สี 
              ปริมาณขององค์ประกอบกับชนิดของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการจำแนกมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมวิธานดินกษณะที่ใช้ในการจำแนกมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมวิธานดิน  | 
        
         
            
              ระบบการจำแนกดินของประเทศสหรัฐอเมริกา 
                 พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1938 โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา 
              เรียกกันโดยทั่วไปว่า ระบบ USDA 1938 แนวความคิดหลักของระบบนี้ถือว่า 
              โซนของภูมิอากาศ และพืชพรรณ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้ดินมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป 
              ในระบบมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยการจำแนกขั้นสูงและขั้นต่ำ โดยขั้นสูงประกอบด้วย 
              อันดับ (order) อันดับย่อย (suborder) และกลุ่มดินหลัก (great soil 
              group) ส่วนในขั้นต่ำ ประกอบด้วย วงศ์ (family) ชุดดิน (series) ชนิดดิน 
              (type) กับประเภทของดิน (phase) ซึ่งประเภทของดินจะสามารถใช้ประกอบในการเรียกชื่อหน่วยดินในการทำแผนที่ดินได้ในทุกระดับ      
              อย่างไรก็ตามพบว่าการจำแนกดินตามระบบ 
              USDA 1938 นั้นมีข้อบกพร่องหลายประการ โดยเฉพาะในกรณีที่นำเอาสภาพแวดล้อมต่างๆ 
              ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดดินมาเป็นบรรทัดฐานมากเกินไป จนบางครั้งทำให้เกิดความสับสนในการจำแนกดินในสนาม 
              นอกจากนี้คำจำกัดความของอันดับ หรืออันดับย่อย หรือกลุ่มดิน ยังให้ไว้กว้างเกินไปจนทำให้บางชุดดินสามารถจัดเข้ากลุ่มดินได้หลายกลุ่ม 
              ซึ่งตามหลักแล้วชุดดินหนึ่งๆ ควรอยู่ได้เพียงกลุ่มดินเดียว ดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบจำแนกดินขึ้นมาโดยยึดหลักสำคัญว่าลักษณะที่นำมาจำแนกดินไม่ควรจะเน้นความสำคัญของปัจจัยภายนอกมากเกินไป 
              แต่ควรพิจารณาลักษณะของตัวดินเอง โดยลักษณะที่ใช้ในการจำแนกนั้นต้องเป็นลักษณะที่สังเกตได้ 
              วัดได้ หรือวิเคราะห์ได้ในสนามและห้องปฏิบัติการมาใช้เป็นบรรทัดฐานสำคัญในการจำแนกดิน 
              และใช้ชื่อให้มีความหมายที่สามารถบอกลักษณะดินโดยสังเขปไปในตัวด้วย 
                 ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักปฐพีวิทยาของสหรัฐอเมริกาจึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ 
              จากนักปฐพีวิทยาทั่วโลก เพื่อนำมาจัดทำระบบการจำแนกดินแบบใหม่ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังเมื่อ 
              ปี ค.ศ. 1951 และได้ดัดแปลงแก้ไขมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถจัดพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มแรกในปี 
              ค.ศ.1960 โดยใช้ชื่อว่า Soil Classification A Comprehensive System-7th 
              Approximation ซึ่งต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขกันอีก และได้พิมพ์ฉบับที่มีการแก้ไขออกมาเรียกว่า 
              Supplement to Soil Classification Approximation แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ 
              จนกระทั่งปี ค.ศ. 1975 ได้พิมพ์แก้ไขฉบับล่าสุดออกมาใช้ โดยใช้ชื่อว่า 
              Soil Taxonomy  
                 ในปัจจุบัน Soil Taxonomy 
              หรือระบบอนุกรมวิธานดินนี้ เป็นระบบการจำแนกดินระบบหนึ่งที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในโลก 
              ที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการสำรวจทรัพยากรดิน 
              และการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงการจัดการทางการเกษตร เป็นระบบการจำแนกดินที่เป็นแบบหลายขั้น 
              (multicategorical system) ตั้งแต่ขั้นสูงถึงขั้นต่ำ รวม 6 ขั้นด้วยกัน 
              คือ อันดับ (order) อันดับย่อย (suborder) กลุ่มดินใหญ่ (great group) 
              กลุ่มดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) และชุดดิน (series) ตามลำดับ 
              สำหรับในขั้นชุดดินใช้ชื่อสถานที่ที่พบดินชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัวแยกออกจากดินอื่นๆ 
              ได้เป็นครั้งแรก และมีขอบเขตของพื้นที่ที่เป็นดินดังกล่าวกว้างขวางมากพอ 
                 ลักษณะเด่นของอนุกรมวิธานดิน ก็คือหน่วยอนุกรมวิธานดินต่างๆ 
              ในการจำแนกขั้นสูงประกอบขึ้นด้วยศัพท์ต่างๆที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 
              และละตินเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีภาษาใหม่ๆ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่นอยู่บ้าง 
              โดยศัพท์แต่ละคำที่เป็นองค์ประกอบของชื่ออนุกรมวิธานดินมีความหมายเฉพาะตัว 
              และเมื่อสมาสกันเข้าเป็นชื่อก็จะมีความหมายต่อเนื่องหรือร่วมกันที่จะบ่งบอกถึงลักษณะเด่นของดินโดยสังเขป 
              ทำให้พอเข้าใจได้ว่าดินนั้นมีลักษณะโดยทั่วๆไปเป็นอย่างไร สำหรับคำประกอบชื่อของดินในขั้นต่ำของการจำแนกในอนุกรมวิธานดิน 
              เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ที่ง่าย และเน้นไปสู่ลักษณะดินที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพืช 
              เช่น ชั้นอนุภาคดินจะเกี่ยวจะเกี่ยวข้องกับเนื้อดิน ชั้นแร่วิทยาของดินจะเป็นชื่อของแร่องค์ประกอบที่เด่นของดิน 
              ชั้นปฏิกิริยาดินจะชี้ให้เห็นถึงสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน และชั้นอุณหภูมิดินจะระบุถึงช่วงอุณหภูมิของดินในชั้นรากพืชในช่วงปี 
              ซึงเมื่อรวมเข้ากับชื่ออนุกรมวิธานดินในขั้นสูง ก็จะสามารถประมาณได้ว่าดินดังกล่าวมีจุดเด่น-ด้อยในการรองรับการจัดการด้านการเกษตรโดยทั่วไปอย่างไร 
              | 
        
         
          การควบคุมมาตรฐานการสำรวจจำแนกดิน 
                | 
        
         
          |   | 
        
         
             การควบคุมมาตรฐานการสำรวจจำแนกและทำแผนที่ดิน 
             
                  เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและวิจัยลักษณะของดินเพื่อการจำแนกดินการกำหนดชื่อและให้นิยามชุดดินหรือหน่วยแผนที่ดินการเปรียบเทียบ 
              (correlation) และควบคุมมาตรฐาน (standardization) หน่วยอนุกรมวิธาน 
              (taxonmic unit) ที่ใช้เป็นหลักในการสำรวจและทำแผนที่ดินให้อยู่ในมาตฐานที่กำหนดไว้และหน่วยแผนที่ดิน 
              (map unit) มีลักษณะอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้เหมือนกันเมื่อดินนั้นได้ให้ชื่ออย่างเดียวกัน 
              แม้จะพบในบริเวณที่ต่างกันก็ตาม นอกจากที่กล่าวแล้วงานควบคุมมาตรฐานยังเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงแก้ไขการบรรยายลักษณะหน้าตัดของดิน 
              (profile description) และการจำแนกดินในขั้นตอนต่างๆ ของระบบการจำแนกที่นำมาใช้ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางด้านการจำแนกดินที่มีการปรับปรุงเปลี่ยแปลงอยู่เสมอ 
              พร้อมกับการจัดทำคู่มือการจำแนกดินในแต่ละภาค และของประเทศ เพื่อให้นักสำรวจดินนำไปเป็นหลักการจำแนกดินในสนามให้อยู่ในมาตรฐานเดี่ยวกันทั้งประเทศ 
              และสามารถใช้ผลการจำแนกดินเป็นฐานในการถ่ายทอดผลงานวิจัยทางด้านการเกษตรระหว่างพื้นที่หรือระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
              ซึ่งจะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการวิจัยได้เป็นอย่างมาก 
                  จากที่กล่าวมาจึงพอมองเห็นได้ว่า 
              การควบคุมมาตรฐานการสำรวจจำแนกและทำแผนที่ดินส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องคุณภาพ 
              (quality) ของการจำแนกและทำแผนที่ดินเป็นหลัก และการควบคุมมาตรฐานจะต้องทำทั้งในสนามและในขั้นตอนการทำแผนที่ดิ 
              และรายงานการสำรวจดิน  
            โดยปกติแล้ว การควบคุมมาตรฐานการสำรวจจำแนกและทำแผนที่ มีขั้นตอนการดำเนินงานอยู่ 
              3 ขั้นตอน คือ  | 
        
         
             
            ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น (Initial review) | 
        
         
           
                   เป็นการดำเนินงานก่อนที่จะทำการสำรวจดินในพื้นที่โครงการโดยทำการเจาะสำรวจและศึกษาลักษณะของดิน 
              และกำหนดหน่วยแผนที่ดิน (map unit) ในสภาพภูมิสัณฐานต่างๆ ของพื้นที่ที่จะทำการสำรวจดิน 
              ถ้าดินใดมีลักษณะเหมือนหรืออยู่ในช่วงลักษณะที่ได้เคยกำหนดไว้ในชุดดิน 
              (soil series) ที่มีการตั้งชื่อแล้ว (established series) ก็ให้ชื่อตามชุดนั้น 
              แต่ถ้าดินมีลักษณะไม่อยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ สำหรับดินชุดใดๆ ก็ให้พิจารณาตั้งชื่อมาใหม่ 
              (tentative series) หรือให้เป็น variant หรือ phase ของดินชุดหนึ่งที่มีลักษณใกล้เคียงกัน 
              เสร็จแล้วให้ทำการศึกษาสภาพแวดล้อมที่เกิดดิน เข่น วัตถุต้นกำเนิดดิน 
              สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พืชพรรณที่ขึ้นปกคลุม และอายุการเกิดของดินพร้อมทั้งลักษณะทางด้านสัณฐานของดิน 
              (morphology) โดยทำการบรรยายลักษณะหน้าตัดของดินอย่างน้อย 3 หลุม และทำการเก็บตัวอย่างดินมาทำการวิเคราะห์หาคุณสมบัติทางด้านเคมี 
              กายภาพ และแร่ของดิน จากสภาพการเกิดของดินและลักษณะต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาในสนามในขั้นแรกให้จัดทำตารางกำหนดลักษณะหน่วยการเกิดของดินและลักษณะต่างๆ 
              ที่ได้จากการศึกษาในสนามเพื่อนักสำรวจดินจะได้นำไปเป็นบรรทัดฐานในการจำแนกและทำแผนที่ดินต่อไป 
                 สภาพการเกิดและคุณลักษณะของดินที่สำคัญที่ควรนำมาพิจารณากำหนดหน่วยแผนที่ดินนั้นจะประกอบด้วย 
              สภาพการเกิดได้แก่ สภาพพื้นที่รวมทั้งชั้นของความลาดเท (slope class) 
              วัตถุต้นกำเนิดดิน สภาพการระบายน้ำของดิน (internal drainage) พืชพรรณหรือการใช้ประโยชน์ 
              ส่วนคุณลักษณะของดินนั้น ได้แก่ เนื้อดิน สีดินพื้น (matrix) จุดประ 
              (mottle) ปฏิกริยาของดิน (soil reaction) และลักษณะอื่นๆ ที่จะใช้เป็นลักษณะในการจำแนกดินออกจากชุดดินหรือดินที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน 
              ซึ่งลักษณะต่างๆ ที่กล่าวนี้จะต้องกำหนดทั้งดินชั้นบนและดินขั้นล่าง 
              ข้อมูลการกำหนดช่วงลักษณะของหน่วยแผนที่ดินที่กล่าวนี้นอกจากใช้เป็นบรรทัดฐานในการทำแผนที่ดินแล้ว 
              ยังใช้เป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบหน่วยของแผนที่ดิน (soil correlation) 
              ในช่วงที่การสำรวจดินกำลังดำเนินการในพื้นที่ของโครงการด้วย 
               | 
        
         
             
            การขยายผลในการตรวจสอบ (Progressive Review) | 
        
         
           
                    ดำเนินการขณะที่งานสำรวจดินในสนามกำลังเนินงานอยู่ 
              โดยใช้ข้อมูลที่กำหนดลักษณะหน่วยของแผนที่ดินในขั้นแรกเปรียบเทียบ 
              (correlate) กับดินที่ทำการเจาะสำรวจใหม่ ในขั้นตอนที่สองนี้อาจพบดินที่ยังไม่เคยให้ชื่อมาก่อนหลายชุดดินก็ได้ 
              ถ้าพบดินที่มี ลักษณะไม่เหมือนกับชุดดินที่เคยให้ชื่อมาก่อนก็จะต้องมีการตั้งชื่อชุดดินใหม่เป็นการชั่วคราว 
              (tentative series) และทำการศึกษาลักษณะสำคัญที่จะใช้เป็นหลักในการจำแนก 
              (differentiating characteristics) และกำหนดช่วงลักษณะต่างๆ (range 
              of characteristics) ในระดับชุดดินพร้อมกับทำคำบรรยายลักษณะหน้าตัดและเก็บตัวอย่างดินไปทำการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัตการ 
            สำหรับดินที่เจาะพบว่ามีลักษณะอยู่ในช่วงลักษณะของชุดดินที่เคยให้ชื่อมาแล้ว 
              ก็จะให้ชื่อตามชุดดินนั้นๆ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมมาตรฐานจะต้องปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่สำรวจดินทั้งในด้านการเจาะสำรวจในสนาม 
              และการศึกษาข้อมูลจากการเจาะตรวจลักษณะของดินแต่ละจุดหรือแต่ละหลุมเพื่อจะได้ทำการเปรียบเทียบให้อยู่ในมาตรฐานที่กำหนดไว้ 
               | 
        
         
             
            การตรวจสอบขั้นสุดท้าย (Final review) | 
        
         
           
                   เป็นการดำเนินงานเปรียบเทียบหน่วยของแผนที่ดินหลังจากงานสำรวจดินในสนามใกล้จะเสร็จหรือเสร็จแล้ว 
              เพื่อตรวจดูสอบดูว่าแต่ละหน่วยที่แสดงไว้ในแผนที่และกำหนดขอบเขต (soil 
              boundary) ไว้นั้นมีความถูกต้องหรือไม่ แต่มันเป็นการยากที่จะตรวจสอบทุกพื้นที่ดินและหน่วย 
              (unit) จำเป็นต้องมีการสุ่มหรือเลือกพื้นที่ที่จะทำการตรวจสอบ (study 
              areas) หรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการเจาะตรวจสอบเป็นแนวเส้นตรง (traverse) 
              เพื่อจะได้ทราบว่า ความถูกต้อง (accruancy) ของแผนที่ดินนั้นมีความถูกต้องหรือเชื่อมั่นได้สักกี่เปอร์เซนต์ 
             
                 การควบคุมมาตรฐานขั้นสุดท้ายนี้มิใช่เพียงการตรวจสอบในสนามเท่านั้น 
              ยังรวมถึงการตรวจสอบแผนที่ต้นร่างและการจัดทำรายงานสำรวจดินด้วย โดยเฉพาะการบรรยายลักษณะของหน่วยแผนที่ดิน 
              และการวินิจฉัยคุณภาพหรือการประเมินคุณภาพของดินเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ 
              จะต้องอยู่ในแนวความคิด (concept) ของชุดดินหรือหน่วยของแผนที่ดินได้กำหนดไว้แต่แรก 
              การควบคุมมาตรฐานขั้นสุดท้ายนี้นับว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับการควบคุมมาตรฐานขั้นแรกและขั้นที่สองที่ได้กล่าวมาแล้ว 
             
                 ในการที่จะควบคุมมาตรฐานการสำรวจและจำแนกดินให้มีประสิทธิภาพได้นั้น 
              จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่สำรวจดินในสนามที่จะให้ข้อมูล 
              และการแจ้งถึงปัญหาที่จะให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านการควบคุมมาตรฐานเข้าไปช่วยในการแก้ไขรวมทั้งการร่วมมือในการจัดตั้ง 
              และกำหนดลักษณะของชุดดิน หรือหน่วยของแผนที่ดินที่จะจัดตั้งขึ้นมาใหม่ 
              ดังนั้นการดำเนินงานควบคุมมาตรฐานการสำรวจจำแนกดินจึงต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องทุกขั้นตอน  | 
        
         
           .. 
            การจำแนกดินของประเทศไทย... |