|
|
|
|
|
..ความลึกความตื้นของดินมีผลต่อ
การเลือกชนิดของพืชที่ปลูก การยึดเกาะของราก
และการทรงตัวของต้นพืช ปริมาณความชื้น
ธาตุอาหารในดิน และอุณหภูมิดิน.. |
|
|
|
|
|
|
|
ในทางการเกษตร
ได้แบ่งความลึกของดินออกเป็น
5 ชั้น โดยยึดเอาความลึกที่วัดจากผิวดินถึงชั้นที่ขัดขวางการเจริญเติบโตหรือการชอนไชของรากพืช
ซึ่งชั้นที่ขัดขวางการเจริญของรากพืช
ได้แก่ชั้นหินพื้น ชั้นดาน
ชั้นศิลาแลง ชั้นกรวด หิน
หรือลูกรังที่หนาแน่นมากๆ |
|
1)
พบชั้นขัดขวางภายในความลึก
25 ซม.จากผิวดิน เป็น ดินตื้นมาก |
|
2) พบชั้นขัดขวางระหว่างความลึก
25-50 ซม.จากผิวดิน เป็น
ดินตื้น |
|
3) พบชั้นขัดขวางระหว่างความลึก
50-100 ซม.จากผิวดิน เป็น
ดินลึกปานกลาง |
|
4) พบชั้นขัดขวางระหว่างความลึก
100-150 ซม.จากผิวดิน เป็น
ดินลึก |
|
5) พบชั้นขัดขวางลึกกว่า
150 ซม.จากผิวดิน เป็น
ดินลึกมาก |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เนื้อดิน..
เป็นสมบัติที่บอกถึงความหยาบหรือละเอียดของดิน
มีผลต่อการดูดซับน้ำ การดูดยึดธาตุอาหาร
และปฏิกิริยาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดิน
|
|
|
|
|
เนื้อดินเป็นผลมาจากการรวมตัวกันของชิ้นส่วนเล็กๆ
ที่เราเรียกกันว่า อนุภาคของดิน
อนุภาคเหล่านี้มีขนาดไม่เท่ากัน
แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ ขนาดใหญ่
เรียกว่า อนุภาคขนาดทราย
(เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.0-0.05 มิลลิเมตร)
ขนาดกลาง เรียกว่า
อนุภาคขนาดทรายแป้ง
(เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.05-0.002
มิลลิเมตร) ขนาดเล็ก
เรียกว่า อนุภาคขนาดดินเหนียว
(เส้นผ่าศูนย์กลาง เล็กกว่า 0.002
มิลลิเมตร) |
|
เราสามารถแบ่งเนื้อดินเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
ได้ 3 กลุ่มคือ .. |
|
|
กลุ่มดินทราย |
|
|
หมายถึง
กลุ่มเนื้อดินที่มีอนุภาคขนาดทราย
เป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่าร้อยละ
85 โดยอนุภาคจะเกาะตัวกันหลวมๆ
และมองเห็นเป็นเม็ดเดี่ยวๆ
ได้
ความรู้สึกเมื่อสัมผัสดินที่แห้งจะรู้สึกสากมือ
แต่เมื่อลองกำดินที่แห้งนี้ไว้ในอุ้งมือแล้วคลายมือออก
ดินจะแตกออกจากกันได้ง่าย
ถ้ากำดินที่อยู่ในสภาพชื้นจะสามารถทำให้เป็นก้อนหลวมๆ
ได้ แต่พอสัมผัสจะแตกออกจากกันทันที
ปกติดินทรายเป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดีมาก
แต่มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ
น้ำซึมผ่านได้อย่างรวดเร็ว
มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
เพราะความสามารถในการดูดยึดธาตุอาหารพืชน้อย
พืชที่ขึ้นบนดินทรายจึงมักขาดทั้งธาตุอาหารและน้ำ
เนื้อดินที่อยู่ในกลุ่มนี้
ได้แก่ ดินทราย
และดินทรายปนดินร่วน
|
|
|
กลุ่มดินร่วน |
|
|
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยอนุภาคขนาดทราย
ทรายแป้ง และดินเหนียวในปริมาณใกล้เคียงกัน
เป็นดินที่มีเนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือ
ในสภาพดินแห้งจะจับกันเป็นก้อนแข็งพอประมาณ
ในสภาพดินชื้นดินจะยืดหยุ่นได้บ้าง
เมื่อสัมผัสหรือคลึงดินจะรู้สึกนุ่มมือ
แต่อาจจะรู้สึกสากมืออยู่บ้างเล็กน้อย
แต่เมื่อกำดินให้แน่นในฝ่ามือแล้วคลายมือออก
ดินจะจับกันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกัน
ดินร่วนเป็นดินที่มีความเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก
เพราะไถพรวนง่าย
มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี
และมักจะมีความอุดมสมบูรณ์ดี
เนื้อดินที่อยู่ในกลุ่มนี้
ได้แก่ ดินร่วน
ดินร่วนปนทราย
ดินร่วนปนทรายแป้ง
ดินร่วนปนดินเหนียว
ดินร่วนเหนียวปนทราย
ดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง
ดินทรายแป้ง
|
|
|
กลุ่มดินเหนียว... |
|
|
กลุ่มเนื้อดินที่ประกอบด้วยอนุภาคขนาดดินเหนียวตั้งแต่ร้อยละ
40 ขึ้นไป เป็นดินที่มีเนื้อละเอียด
ในสภาพดินแห้งจะเกาะตัวกันเป็นก้อนแข็ง
เมื่อเปียกน้ำแล้วจะมีความยืดหยุ่น
สามารถปั้นเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้
ลักษณะเหนียวติดมือ
มีทั้งที่ระบายน้ำและอากาศดีและไม่ดี
สามารถอุ้มน้ำ
ดูดซับและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้ดี
บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำบางพื้นที่ที่เป็นดินเหนียวจัดจะไถพรวนลำบาก
เพราะเมื่อดินแห้งจะแข็งมาก
แต่เมื่อเปียกดินจะเหนียวติดเครื่องมือไถพรวน
เนื้อดินที่อยู่ในกลุ่มนี้
ได้แก่ ดินเหนียว
ดินเหนียวปนทราย
ดินเหนียวปนทรายแป้ง
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
โครงสร้างของดิน...
เป็นสมบัติทางกายภาพของดิน ที่เกิดขึ้นจากการเกาะจับกันของอนุภาคที่เป็นของแข็งในดิน
(ส่วนที่เป็นแร่ธาตุหรืออนินทรียวัตถุและอินทรียวัตถุ)
เกิดเป็นเม็ดดินหรือเป็นก้อนดินที่มีขนาด
รูปร่าง และความคงทนแข็งแรงในการยึดตัวต่างๆ
กัน เช่น เป็นก้อนกลม ก้อนเหลี่ยม
เป็นแท่ง หรือเป็นแผ่นบาง |
|
|
|
|
โครงสร้างของดินมีความสำคัญต่อ
การซึมผ่านของน้ำ การอุ้มน้ำ
การระบายน้ำ และการถ่ายเทอากาศในดิน
รวมถึงการแพร่กระจายของรากพืชด้วย
ดินที่มีโครงสร้างดี
มักจะมีลักษณะร่วนซุย
อนุภาคเกาะกันหลวมๆ มีปริมาณช่องว่างและความต่อเนื่องของช่องว่างในดินดี
ทำให้มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี
รากพืชสามารถชอนไชไปหาอาหารได้ง่าย
โครงสร้างดินที่แข็งแรงถูกทำลายได้ยาก
ก็จะทำให้ดินถูกชะล้างพังทลายได้ยากเช่นกัน
|
ดินในธรรมชาติ....ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างเสมอไป
ดินหลายชนิดได้ชื่อว่าเป็นดินไม่มีโครงสร้าง
เช่น
ดินทราย
... ที่มีอนุภาคขนาดทรายเดี่ยวๆ
ไม่เกาะยึดกัน หรือ
ดินเหนียวจัด...ที่อนุภาคดินเหนียวขนาดเล็กจับตัวกันแน่นทึบ
|
...โครงสร้างประเภทต่างๆ
|
|
|
|
|
แบบก้อนกลม... |
|
มีรูปร่างคล้ายทรงกลม
เม็ดดินมีขนาดเล็กประมาณ
1-10 มิลลิเมตร
มักพบในดินชั้นบนที่คลุกเคล้าด้วยอินทรียวัตถุ
โครงสร้างประเภทนี้
จะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่
ขึ้นระหว่างเม็ดดิน
ทำให้ดินมีความพรุนมาก
สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดีี |
|
แบบก้อนเหลี่ยม... |
|
มีรูปร่างคล้ายกล่อง
เม็ดดินมีขนาดประมาณ
1-5 เซนติเมตร มักพบในดินชั้นล่าง
โครงสร้างประเภทนี้
จะมีสภาพที่น้ำและอากาศซึมได้ในเกณฑ์ปานกลาง
|
|
แบบแผ่น... |
|
ก้อนดินมีรูปร่างแบน
วางตัวในแนวราบ และซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้น
มักพบในดินชั้นบนที่ถูกบีบอัด
จากการบดไถของเครื่องจักรกล
โครงสร้างดินลักษณะนี้จะขัดขวางการไหลซึมของน้ำ
การระบายอากาศและการชอนไชของรากพืช |
|
แบบแท่งหัวเหลี่ยม... |
|
ก้อนดินมีรูปร่างเป็นแท่ง
มักพบในชั้นดินล่างของดินบางชนิด
โดยเฉพาะดินเค็มที่มีการสะสมโซเดียมสูงๆ
หน่วยโครงสร้างแบบนี้มักมีขนาดใหญ่
คือมีความยาว 10-100
มิลลิเมตร เรียงตัวกันในแนวตั้ง
ถ้าส่วนบนของปลายแท่งมีรูปร่างแบนราบ |
|
แบบแท่งหัวมน... |
|
ส่วนบนของปลายแท่งมีลักษณะโค้งมน
ปกคลุมด้วยเกลือ
เม็ดดินมีขนาด 1-10
เซนติเมตร พบในดินชั้นล่าง
ของดินที่เกิดในเขตแห้งแล้ง
และมีการสะสมของโซเดียมสูง
ดินที่มีโครงสร้างลักษณะนี้มักจะมีสภาพให้น้ำซึมได้น้อยถึงปานกลาง |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน..
หรือที่เรียกกันว่า พีเอช (pH)
เป็นค่าปฏิกิริยาดิน วัดได้จากความเข้มข้นของปริมาณไฮโดรเจนไอออน
(H+) ในดิน |
|
|
|
|
โดยทั่วไปค่าพีเอชของดินจะบอกเป็นค่าตัวเลขตั้งแต่
1 ถึง 14
ถ้าดินมีค่าพีเอชน้อยกว่า
7 แสดงว่าดินนั้นเป็นดินกรด
ยิ่งมีค่าน้อยกว่า 7
มาก ก็จะเป็นกรดมาก
แต่ถ้าดินมีพีเอชมากกว่า
7 จะเป็นดินด่าง
สำหรับดินที่มีพีเอชเท่ากับ
7 แสดงว่าดินเป็นกลาง
แต่โดยปกติแล้วพีเอชของดินทั่วไปจะมีค่าอยู่ในช่วง
5 ถึง 8 |
|
|
พีเอชของดินมีความสำคัญต่อการปลูกพืชมาก..
เพราะเป็นตัวควบคุมการละลายธาตุอาหารในดิน
ออกมาอยู่ในสารละลายหรือน้ำในดิน
|
|
ถ้าดินมีพีเอชไม่เหมาะสม
ธาตุอาหารในดินอาจจะละลายออกมาได้น้อย
ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช
หรือในทางตรงกันข้ามธาตุอาหารบางชนิด
อาจจะละลายออกมามากเกินไปจนเป็นพิษต่อพืชได้
|
|
พืชแต่ละชนิดชอบที่จะเจริญเติบโตในดินที่มีช่วงพีเอชต่างๆ
กัน สำหรับพืชทั่วๆ
ไปมักจะเจริญเติบโตในช่วงพีเอช
6-7 นอกจากนี้ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน
ยังควบคุมการเจริญเติบโต
และการทำหน้าที่ของจุลินทรีย์ดินด้วย |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความสามารถในการดูดยึดและแลกเปลี่ยนประจุบวกในดิน
เป็นสมบัติของดินที่มีความสำคัญ
ต่อการสำรองปริมาณธาตุอาหารต่างๆ
ไว้ในดิน และปลดปล่อยออกมาให้พืชได้ใช้ประโยชน์
|
|
|
|
|
อินทรียวัตถุและแร่ดินเหนียวในดิน
มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อสมบัตินี้ของดิน
เนื่องจากพื้นผิวของอินทรียวัตถุและแร่ดินเหนียวจะมีประจุลบเหลืออยู่
จึงสามารถดูดยึดประจุบวกได้
แร่ธาตุอาหารที่พืชต้องการส่วนใหญ่จะมีประจุบวก
เช่น ธาตุไนโตรเจนในรูปของแอมโมเนียม
ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม
โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี
นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมหรือต้านการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดินด้วย
โดยการดูดยึดประจุบวกที่เป็นกรด
ได้แก่ ไฮโดรเจน และอลูมิเนียม
ไว้ |
|
|
|
|
|
|
|
|
สิ่งมีชีวิตในดิน..
เป็นสมบัติทางชีวภาพของดิน
ซึ่งรวมถึงสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
อาศัยอยู่บนดินและในดิน แบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ
3 กลุ่ม คือ พืช / สัตว์ / จุลินทรีย์ดิน
|
|
|
พืช
|
|
พืชมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อดิน
และสิ่งมีชีวิตในดิน
เนื่องจากทำหน้าที่ กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์
มาสร้างเป็นสารอินทรีย์
โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง
ต่อมาเมื่อส่วนต่างๆ
ของพืชหลุดร่วงหรือตายทับถม
และผ่านกระบวนการย่อยสลายจนกลายเป็นสารอินทรีย์ต่างๆ
สารเหล่านี้ก็จะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ภายในดิน ที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมอื่นๆ
ต่อเนื่องไปอีกมาก และเป็นแหล่งสำคัญของธาตุอาหารพืชหลายชนิด
เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและกำมะถัน
นอกจากนี้การที่พืชเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านใบ
และหยั่งรากลึกลงไปดิน
ยังก่อให้เกิดผลกระทบ
และเกิดการเปลี่ยนแปลงในดินอีกหลายอย่าง
เช่น การเกิดช่องว่างในดินจากการไชชอนของราก
การเคลื่อนที่ของน้ำและอากาศ
การหมุนเวียนของธาตุอาหาร
การผุพังสลายตัวของหินกลายเป็นดิน
การซึมชะ การป้องกันการสูญเสียหน้าดิน
เป็นต้น |
|
|
|
สัตว์ในดิน |
|
ดินเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์นานาชนิด
เช่น มด ปลวก แมลงต่างๆ
กิ้งกือ ตะขาบ ไส้เดือน
ตุ่น งู เป็นต้น
บทบาทหลักของสัตว์ในดินส่วนใหญ่
จะเกี่ยวข้องกับการขุดคุ้ยเพื่อหาอาหาร
หรือเป็นที่อยู่อาศัย
รวมถึงการกัดย่อยชิ้นส่วนของราก
หรือเศษซากต่างๆ
กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมบัติของดินได้
การสร้างรัง และการขุดคุ้ยไชชอนดินของมด
ปลวก แมลง หรือไส้เดือนดิน
เป็นการพลิกดินโดยธรรมชาติ
ช่วยผสมคลุกเคล้าอินทรียวัตถุในดิน
หรือช่วยผสมคลุกเคล้าดินบนกับดินล่าง
และนำแร่ธาตุจากใต้ดินขึ้นมาบนผิวดิน
ทำให้เกิดช่องว่างในดิน
ซึ่งส่งผลให้ดินโปร่งมีการถ่ายเทอากาศดี
ปลวกและไส้เดือน
ยังมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายเศษอาหาร
ซากพืชและสัตว์ให้มีขนาดเล็กลง
จนเป็นอนุภาคขนาดจิ๋วๆ
ซึ่งจะเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดินต่อไป
|
|
|
|
จุลินทรีย์ดิน
|
|
จุลินทรีย์ดิน
หมายถึง สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก
จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู
มีหลายชนิดทั้งที่เป็นพืชและสัตว์
เช่น แบคทีเรีย แอคทีโนมัยซิส
รา โปรโตซัว ไวรัส จุลินทรีย์ดินมีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุ
การแปรสภาพสารอินทรีย์และอนินทรีย์
การตรึงไนโตรเจน การย่อยสลายสารเคมี
ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติต่างๆ
ของดิน ช่วยให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์
และสภาพแวดล้อมในดินเกิดสมดุล |
|
|
|
|
|
|
|
|