น้ำที่เป็นประโยชน์สำหรับการเจริญเติบโตของพืช
จะอยู่ในรูปของความชื้นที่เกาะอยู่ตามเม็ดดินและช่องว่างในดิน
ซึ่งเกิดจากการซึมของหยดน้ำเข้าสู่ดินและถูกดูดซับไว้โดยอนุภาของดิน
ความชื้นนี้จะคงอยู่ในดินจนกระทั่งเกิดการระเหยหรือถูกรากพืชดูดไปใช้
การเปลี่ยนแปลงความชื้นในดินเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน อัตราการระเหย
สภาพภูมิประเทศ ลักษณะและปริมาณของพืชที่คลุมดิน และสมบัติของดินที่ยอมให้น้ำซึมผ่านและดูดซับน้ำไว้ในดิน
โครงการนี้จึงให้ความสนใจที่จะดำเนินการสำรวจและจัดทำแผนที่สภาพความชื้นดิน
ที่เน้นการวิเคราะห์ความชื้นที่มีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศ
สมบัติทางกายภาพของดินที่จะกักเก็บน้ำได้ และสภาพภูมิอากาศ
โดยในปี 2553 มีพื้นที่ดำเนินการครอบคลุม 7 จังหวัด ในภาคตะวันออก
รวมเนื้อที่ประมาณ 21.49 ล้านไร่ มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินปริมาณความชื้นของดินสำหรับการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง
และเพื่อจัดทำแผนที่ศักยภาพความชื้นของดิน
เนื่องจากภาคตะวันออกเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผลทางเศรษฐกิจ
เช่น พืชไร่ ผลไม้ชนิดต่างๆ ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ฉะนั้นเศรษฐกิจของภาคตะวันออกจะขับเคลื่อนได้ต้องมีน้ำที่อุดมสมบูรณ์
แต่ที่ผ่านมา แม้จะเป็นภาคที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง
1,100 ถึง 4,850 มม. ก็ตาม แต่เมื่อสิ้นฤดูฝนเข้าสู่ฤดูแล้งภูมิภาคนี้มักจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเกือบทุกปี
เนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำสะสมในเขื่อนต่างๆ
เริ่มลดลง โดยในปี 2553 มีรายงานแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งถึง
6 จังหวัดของภาค ยกเว้นเพียงจังหวัดตราดเท่านั้น
การจัดทำแผนที่ศักยภาพความชื้นของดิน จะประเมินจากข้อมูลแผนที่ใน
3 ส่วนหลัก คือ
1. แผนที่ความจุน้ำใช้ประโยชน์ได้ (Available
Water Capacity : AWC) แผนที่นี้สร้างจากฐานข้อมูลแผนที่ดิน
และข้อมูลสมบัติทางกายภาพของดิน ได้แก่ เนื้อดินท ปริมาณชิ้นส่วนหยาบ
และการพบชั้นกั้นขวางการแทรกซึมน้ำในดินล่าง
2. แผนที่ดัชนีความชื้นที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิประเทศ
(Topographic Wetness Index :TWI) ที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพพื้นผิวของภูมิประเทศ
(Terrain Analysis) และการการวิเคราะห์ทางอุทกวิทยา ด้วยข้อมูลแบบจำลองระดับสูงเชิงเลข
(DEM)
3. แผนที่ปริมาณความชื้นสะสมในดินจากข้อมูลปริมาณน้ำฝนและค่าศักย์การระเหยน้ำจากข้อมูลสภาพภูมิอากาศในแต่ละเดือน
โดยใช้เทคโนโลยีระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) เป็นเครื่องมือในการสร้างและซ้อนทับชั้นข้อมูลแผนที่
ร่วมกับการตรวจวัดความชื้นของดินตัวแทนในพื้นที่จริง
ข้อมูลแผนที่ศักยภาพความชื้นดินรายจังหวัดที่ได้ จะเป็นประโยชน์สำหรับการจัดการดินและน้ำเพื่อการปลูกพืชทางการเกษตร
เช่น การให้น้ำ การเลือกชนิดพืชให้เหมาะสมกับปริมาณความชื้นของดินตลอดฤดูปลูก
การจัดการปุ๋ย รวมถึงการวางแผนสร้างสระน้ำในไร่นา และการวางแผนการใช้ที่ดินทางการเกษตร
ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ที่มา รายงานประจำปี 2553 สำนักสำรวจดินและวิจัยทรัพยากรดิน
|